การฝึกหัดกีฬาเป็นกรรมวิธีที่จะจำต้องทำโดยตลอด เป็นระบบแบบแผนมีเป้าประสงค์ที่กระจ่างสามารถตรวจตราความเจริญก้าวหน้าได้ เพื่อสนับสนุนหรือปรับปรุงนักกีฬาให้มีความสามารถสูงสุดเป็นลำดับ อีกทั้งสำหรับการระบุวัตถุประสงค์ของการฝึกหัดที่เด่นชัดจะก่อให้สามารถเลือกต้นแบบการฝึกหัดรวมทั้งกิจกรรมการฝึกฝนที่ถูกสมควรได้ เพื่อกำเนิดคุณภาพสูงสุดของการฝึกหัดนักกีฬาและก็ผู้ฝึกต้องรู้เรื่องกำของการฝึกหัดซึ่งมี

  • กฎของการฝึกหัดมากยิ่งกว่าธรรมดา (law of Overload)
  • กฎของการถอยกลับ (Law of Reversibility)
  • กฎของความเจาะจง (Law of Specificity)

จำแนก เป็นรายละเอียดตามนี้

1 กฎของการฝึกฝนมากยิ่งกว่าธรรมดา (law of Overload)

ร่างกายของคนเราสามารถเปลี่ยนได้ตลอดระยะเวลาขึ้นกับสถานการณ์ห้อมล้อมต่างๆทั้งยังในร่างกายแล้วก็นอกร่างกายยกตัวอย่างเช่นเมื่อทานอาหารร่างกายจะมีการเสื่อมสภาพสารอาหารต่างในร่างกายนำพลังงานที่ได้ไปสู่ส่วนต่างๆของร่างกายเพื่อใช้ประโยชน์ถัดไป อาทิเช่นการเคลื่อนไหว การหายใจ ฯลฯ หรือแม้กระทั้งการที่อยู่ในลักษณะของอากาศที่ไม่เหมือนกันร่างกายจะปรับนิสัยด้วยเหมือนกัน ในเวลาเดียวกันการฝึกฝนกีฬาในแบบอย่างหรือแบบฝึกฝนต่างๆร่างกายจะปรับพฤติกรรมที่จะตอบสนองต่อแบบฝึกฝนนั้นด้วยเหมือนกัน ซึ่งขึ้นกับความหนักของการฝึกหัด ช่วงเวลาของการฝึกหัด กิจกรรมของการฝึกฝน ฯลฯ ความหนักของการฝึกหัด(load) เป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้ร่างกายมีการเปลี่ยนการให้น้ำหนักสำหรับในการฝึกฝนมากมายหรือน้อยแค่ไหนจะเป็นสิ่งชี้แนวทางของการพัฒนาของร่างกาย และก็เมื่อหยุดให้น้ำหนักหรือความหนักสำหรับการฝึกหัดร่างกายก็จะหยุดสนองตอบอย่างเดียวกันรวมทั้งสมรรถภาพทางด้านร่างกายที่ปรับปรุงอยู่เดิมนั้นก็จะลดเสื่อมลง

การฝึกฝนมากยิ่งกว่าธรรมดา (Overload Training) คือการให้ความหนักสำหรับการฝึกฝนที่มากกว่าภาวการณ์ธรรมดาที่นักกีฬาสามารถปฏิบัติได้เพื่อปรับปรุงร่างกายสมรรถภาพทางด้านร่างกาย ความชำนาญ เคล็ดวิธีต่างๆให้ดียิ่งขึ้น แม้กระนั้นเวลาเดียวกันจะต้องพร้อมกันไปกับการพักเพื่อร่างกายได้ทดแทนพลังงานที่สูเสียไปและก็ซ่อมบำรุงส่วนที่สึกหล่อด้วย กล่าวอีกนัยหนึ่ง เมื่อมีการฝึกฝนร่างกายจะสูญเสียพลังงานรวมทั้งเยื่อต่างๆเดการฉีกจนขาด ภายหลังการฝึกหัดหรือการประลองควรจะมีช่วงเวลาสำหรับการพักให้พอเพียงหรือสมควรเพื่อให้โอกาสให้ร่างกายได้ฟื้นจากอาการอ่อนล้าอ่อนแรง การฝึกหัดในรอบถัดไปหรือวันถัดไปก็เลยจะกำเนิดผลดีสูงสุดลดปัญหาด้านการเจ็บและก็

การฝึกหัดมากจนเกินไป (Over Training) เมื่อมีการฝึกร่างกายจะกำเนิดอาการล้าจากของเสียที่เกิดขึ้นภายในร่างกายโดยเฉพาะอย่างยิ่งกรดแลคติก(lactic acid)ดังนั้นต้องมีการหยุดพักเพื่อร่างกายได้ฟื้นและก็ทดแทนพลังงาน(Compensation) ไม่ว่าจะเป็นการพักผ่อนระหว่างรอบหรือท่องเที่ยวการฝึกหัด การหยุดพักระหว่างเซทการฝึกฝน หรือการหยุดพักระหว่างวันต่อวันของการฝึกหัด ฯลฯซึ่งจะเกิดผลดีต่อการฝึกฝนในรอบหรือคราวถัดมา

2 กฎของการหวนกลับ (Law of Reversibility)

ผลจากการฝึกหัดจะมีผลให้ร่างกายมีการปรับปรุงสมรรถภาพทางด้านร่างกายด้านต่างๆที่มีการฝึกหัดจะดียิ่งขึ้นป็นลำดับตามแบบการฝึกฝน การฝึกฝนที่มีความเกี่ยวเนื่องร่างกายจะมีการเติบโตรวมทั้งปรับปรุงตลอดเช่นกันตรงกันข้ามถ้าหากไม่มีการฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอสมรรถภาพทางด้านร่างกายที่ดีนั้นจะค่อยเสื่อมลงตามยุคสมัย ดังนั้นนักกีฬารวมทั้งผุ้ฝึกการสอนก็เลยมีการกำหนดแผนการฝึกหัดเพื่อทรงสภาพสมรรถภาพทางด้านร่างกายเอาไว้ในระดับที่อยากไม่ให้เสื่อมหายไป และก็นอกจากนี้การทรงสภาพระดับความสามารถไว้จะก่อให้นักกีฬารวมทั้งครูฝึกสามารถเริ่มโปรแกรมการฝึกหัดที่ระดับที่สูงขึ้นได้ โดยไม่ต้องเริ่มต้นใหม่ทุกสิ่งทุกอย่าง เพราะฉะนั้นนักกีฬาเมื่อจบฤดูแข่งแล้วต้องมีการฝึกหัดตลอดเพื่อคงจะระดับสมรรถภาพทางด้านร่างกายไว้แม้กระนั้นจำนวนรวมทั้งความหนักของการฝึกฝนบางทีอาจไม่ต้องเข้มข้นมากมายราวกับตอนฤดูการแข่งขันชิงชัย ปกติแล้วนักกีฬาที่ดีจะมีการฝึกฝนเพื่อทรงสภาพสมรรถภาพทางด้านร่างกายไว้ไม่ให้น้อยกว่า 50-60 เปอร์เซ็นต์

3 กฎของความเฉพาะ (Law of Specificity)

กฎของความเฉพาะเป็นกฎการฝึกหัดเพื่อปรับปรุงความสามารถของนักกีฬาให้สูงมากขึ้นแบบเฉพาะให้เหมาะสมกับบุคคล จำพวกกีฬา ตำแหน่งการเล่น ช่วงเวลาและก็ระยะทางการประลอง ฯลฯ การฝึกฝนองค์ปรกอบเบื้องต้นของความสามารถ สมรรถภาพทางด้านร่างกายต้องมีการฝึกหัดแบบเดียวกันหรือคล้ายกันดังเช่นว่า ความแข็งแรง ความเร็วกำลัง ความอ่อนตัว ฯลฯ แม้กระนั้นความเฉพาะของแต่ละตำแหน่งการเล่น ช่วงเวลา ระยะทางการแข่งขันชิงชัยจะก่อให้การฝึกหัดมีความเฉพาะที่ต่างกัน ดังเช่นความชำนาญกีฬาบอลจะเช่นกันทั้งทีมแม้กระนั้นแต่ละตำแหน่งจะมีความต่างกันไปดังเช่นว่าผู้เฝ้าประตู ฯลฯ ความชำนาญนักวิ่งระยะสั้นกับระยะไกล ฯลฯ

อ่านบัญญัติ 10 ประการ ก่อน เล่นกีฬา น่ะครับ

Categorized in: