ทุกคนต่างปรารถนารอยยิ้มที่สวยงามและแข็งแรงไปจนถึงวัยชรา แต่หลายคนอาจไม่เคยนึกถึง “รากฟัน” ซึ่งเป็นรากฐานที่มองไม่เห็น แต่เป็นส่วนสำคัญที่สุดที่ยึดฟันทั้งซี่ให้อยู่กับขากรรไกรได้มั่นคง คำถามสำคัญคือ รากฟันธรรมชาติของเราสามารถใช้งานได้นานแค่ไหน? และเราจะทำอย่างไรเพื่อรักษามันไว้ให้ใช้งานได้อย่างยาวนานที่สุด?
รากฟันธรรมชาติ ถูกออกแบบมาให้อยู่กับคุณตลอดชีวิต
ในทางทันตกรรม รากฟันของ ฟันแท้ ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อรับใช้เราไปตลอดชีวิต ไม่ได้มี “อายุขัย” ที่แน่นอนเหมือนอะไหล่เครื่องยนต์ สาเหตุที่ฟันต้องสูญเสียไปส่วนใหญ่ไม่ได้มาจากความเสื่อมของรากฟันโดยตรง แต่มาจากภัยคุกคามหลัก 2 ประการที่ทำลายโครงสร้างรอบๆ ราก:
- โรคฟันผุ เมื่อฟันผุลึกจนเชื้อแบคทีเรียทะลุไปถึง โพรงประสาทฟัน และรากฟัน ทำให้เกิดการติดเชื้อและอักเสบ ซึ่งต้องเข้ารับการรักษารากฟัน หรือร้ายแรงที่สุดคือการถอนออก
- โรคเหงือกและปริทันต์ การอักเสบเรื้อรังของเหงือกและกระดูกรอบๆ รากฟัน ซึ่งทำลายกระดูกที่รองรับ ทำให้รากฟันหลวมและโยกจนต้องถอนออกในที่สุด
หากปราศจากสองภัยคุกคามนี้ ฟันแท้และรากฟันของคุณก็สามารถอยู่ได้อย่างมั่นคงไปจนถึงวันสุดท้าย
ฟันที่รักษาราก อายุขัยที่ยืดออกไปได้ไม่สิ้นสุด
เมื่อฟันติดเชื้อ ทันตแพทย์จะทำการ รักษารากฟัน (Root Canal Treatment) เพื่อกำจัดเนื้อเยื่อที่ติดเชื้อและทำความสะอาดคลองรากฟัน จากนั้นจึงอุดด้วยวัสดุถาวร หากกระบวนการรักษาสมบูรณ์และถูกหลักการ แพทย์ยืนยันว่าฟันที่ได้รับการรักษาแล้ว สามารถอยู่ได้นานหลายปี หรืออาจตลอดชีวิต เช่นเดียวกับฟันธรรมชาติ
อย่างไรก็ตาม ฟันที่ผ่านการรักษารากจะเปราะบางกว่าเดิมมาก เพราะขาดการไหลเวียนของเลือดและน้ำหล่อเลี้ยง ดังนั้น กุญแจสำคัญ ที่จะยืดอายุการใช้งานให้ฟันที่รักษารากแล้วคือ การบูรณะฟันให้เหมาะสม โดยเฉพาะการ ครอบฟัน (Dental Crown) ซึ่งทำหน้าที่เหมือนเกราะป้องกันรอบฟัน ป้องกันไม่ให้ตัวฟันแตกหักเมื่อต้องรับแรงบดเคี้ยว
4 เคล็ดลับทองคำ เพื่อรักษารากฐานแห่งรอยยิ้มให้ยาวนาน
การดูแลฟันและรากฟันให้อยู่กับเราอย่างแข็งแรงไปนานที่สุด ไม่ใช่เรื่องยาก แต่ต้องอาศัย ความสม่ำเสมอ และ ความเข้าใจ ในการใช้งาน
1. วินัยในการทำความสะอาดที่ถูกต้องและถึงแก่น
นี่คือรากฐานสำคัญที่สุด:
- แปรงฟันอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง เน้นการทำความสะอาดบริเวณ รอยต่อระหว่างฟันและเหงือก ให้ดี เพื่อป้องกันการเกิดโรคเหงือก
- ใช้ไหมขัดฟันทุกวัน ไหมขัดฟันเป็นเครื่องมือเดียวที่เข้าถึงซอกฟันเพื่อกำจัดคราบจุลินทรีย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ การใช้ไหมขัดฟันอย่างสม่ำเสมอจะช่วยป้องกันทั้งฟันผุและโรคปริทันต์
2. หลีกเลี่ยงพฤติกรรมทำร้ายฟัน
แรงกระแทกจากพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมคือศัตรูตัวฉกาจของฟันและครอบฟัน
- ห้ามเคี้ยวของแข็ง หลีกเลี่ยงการเคี้ยว น้ำแข็ง, กระดูก, หรือถั่วเปลือกแข็ง เพราะแรงกระแทกเหล่านี้อาจทำให้ฟันธรรมชาติหรือฟันที่ผ่านการรักษาเกิดการร้าวหรือแตกได้
- ควบคุมภาวะนอนกัดฟัน หากคุณมีพฤติกรรมนอนกัดฟันโดยไม่รู้ตัว ควรปรึกษาทันตแพทย์เพื่อทำ เฝือกสบฟัน มาใส่ เพื่อลดแรงบดเคี้ยวและแรงกระแทกที่เกิดขึ้นในยามหลับ
3. ครอบฟันคือการลงทุนที่จำเป็น
สำหรับฟันที่รักษารากแล้ว โดยเฉพาะฟันกรามที่ต้องรับแรงบดเคี้ยวสูง การทำครอบฟันไม่ใช่ทางเลือก แต่คือความจำเป็น ครอบฟันจะช่วยโอบอุ้มและปกป้องฟันซี่นั้นไม่ให้เกิดการแตกร้าวภายใต้แรงเคี้ยว ซึ่งเป็นการประกันความยาวนานในการใช้งานของรากฟันที่ได้รับการรักษาแล้ว
4. พบทันตแพทย์เป็นประจำทุก 6 เดือน
การมาตรวจสุขภาพช่องปากเป็นประจำทุก 6 เดือน มีความสำคัญอย่างยิ่ง ทันตแพทย์จะสามารถ
- ตรวจคัดกรองปัญหาที่ซ่อนอยู่ ตรวจพบฟันผุในระยะเริ่มต้น หรือสัญญาณเตือนของโรคเหงือก ก่อนที่ปัญหาจะลุกลามลงไปถึงรากฟัน
- ตรวจสอบสภาพของงานบูรณะ ตรวจสอบความสมบูรณ์ของครอบฟัน หรือวัสดุอุดฟัน ว่ามีรอยรั่วหรือเสื่อมสภาพที่อาจทำให้เชื้อโรคกลับเข้าสู่รากฟันได้หรือไม่
รากฟันคือสมบัติล้ำค่าที่ธรรมชาติมอบให้ และถูกออกแบบมาเพื่ออยู่กับคุณตลอดไป ตราบใดที่คุณให้ความสำคัญกับการดูแลที่ถูกต้อง ทั้งการทำความสะอาดที่เคร่งครัด การใช้งานอย่างระมัดระวัง และการเข้าพบทันตแพทย์ตามนัด การลงทุนเพียงเล็กน้อยในวันนี้ จะช่วยให้คุณรักษา “รากฐานแห่งรอยยิ้ม” นี้ไว้ได้อย่างมั่นคงและยาวนาน
ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับรากฟันเทียม https://loeidentalhouse.com/answering-questions-about-dental-implants/